ยาครอบจักรวาล

--

ไม่แน่ใจว่าเด็กๆยุคนี้จะยังเคยได้ยินคำนี้ไหม เพราะในสมัยผมยังเด็ก จะได้ยินคำนี้บ่อยมาก สารพัดยาในสมัยนั้น มักจะบอกสรรพคุณเกินจริง รักษาโรคได้แต่ตั้งไข้หวัดไปยันมะเร็ง จนมีคำว่ายาครอบจักรวาลออกมานิยามยาเหล่านั้น

เมื่อไม่กี่วันก่อนนี้ผมได้ไปพบแพทย์เฉพาะทางด้านกระดูก เนื่องจากมีปัญหาเจ็บที่กลางหลัง ซึ่งมันคืออาการเจ็บ แบบที่ไม่เหมือนกับกล้ามเนื้อหลังอักเสบ ที่ผมทราบเพราะผมเป็นกล้ามเนื้อหลังอักเสบเฉียบพลันมาแล้วหลายรอบ แต่รอบนี้มันออกแนวเจ็บ และสามารถชี้จุดได้ว่าตรงไหน

ตอนที่เดินเข้าไปพบคุณหมอ คุณหมอก็ถามว่าปวดตรงไหน โดยที่ไม่รอคำตอบ คุณหมอก็ยิงคำถามต่อมาเลย ปวดตรงนี้ไหม(เอามือชี้ไปที่โครงกระดูกบนโต๊ะ ตรงตำแหน่งสะโพก) ถ้าตรงนี้นะ ก้มได้ไหม เจ็บร้าวไปที่ขาไหม ซึ่งไม่ว่าจะยิงคำถามอะไรมา ผมตอบได้เร็วสุดคือส่ายหน้า แต่ถึงกระนั้นคุณหมอก็ยังไปต่อ ไปโดนอะไรมา ผมบอกว่าสงสัยออกกำลังกาย แกก็ถามว่าท่าไหน ผมก็ไม่แน่ใจเลยตอบไปว่า สงสัยจะยกดัมเบลครับ แกก็ไปต่ออีก นี่นะ มันจะต้องยืดเส้น ต้องไปพิลาทิส บริหารช่วงกลางลำตัว

สุดท้ายแกก็จะเริ่มจ่ายยา ซึ่งในใจผมก็คิดมาตลอดว่า ทำไมหมอไม่ลองมาดูหลังผมสักหน่อยว่ามันเจ็บตรงไหน หมอจะได้ไม่พูดอะไรที่มันไม่ตรงอาการมาจะ 10 นาทีอยู่แล้ว ผมก็เลยแทรกไปว่า ผมเจ็บนะครับไม่ได้ปวด ตรงนี้แกก็เลยร้อง อ้าว แล้วมันตรงไหนกันล่ะ นั่นแหล่ะครับ แกถึงยอมลุกขึ้นมา ผมก็รีบเอามือไพล่หลังแล้วจิ้มไปตรงจุดที่เจ็บ ซึ่งแกก็ไม่แม้แต่จะเปิดเสื้อผมออกมาดูความบวมของมันด้วยซ้ำ แล้วคุณหมอก็รีบลงไปนั่งที่เดิมอย่างไว

จากนั้นแกก็บ่นโน่นนี่ไปนิดหน่อย แล้วก็บอกว่ายานี้นะแก้อักเสบ แต่ถ้ากินแล้วไม่ช่วยก็ไม่ต้องกิน ส่วนยานี้นะแก้ปวด แต่กินแล้วจะคลื่นไส้นะ ยานี้เอาไว้พ่น เอาไหม บลาๆ

การพบแพทย์ในครั้งนี้ ผมคิดว่าหมอรักษาไม่ได้เรื่องเอาเสียเลย แต่ก็สบายใจอยู่บ้างว่า เราคงไม่ได้เป็นอะไรร้ายแรง เดี๋ยวก็คงหายได้เองมั้ง แต่มันทำให้ผมนึกถึงเรื่องเล่าที่มีคนเคยเล่าว่า

https://www.pexels.com/photo/medical-stethoscope-with-red-paper-heart-on-white-surface-4386467/

มีคุณหมอท่านหนึ่ง ท่านมียาวิเศษณ์ที่ไม่ว่าคนป่วยจะเป็นโรคอะไร ขอแค่จ่ายยานี้ออกไป คนไข้ก็จะหายเป็นปลิดทิ้งได้แน่นอน แต่ว่าในแต่ละวันที่คุณหมอออกตรวจคนไข้ คุณหมอจะคอยถามไถ่อาการผู้ป่วยอย่างใส่ใจ จับโน่นจับนี่ ฟังเสียหัวใจ วัดไข้ความดัน อือ ออ ไปกับอาการของคนไข้เมื่อเขาบอกว่าเจ็บโน่น ปวดนี่ แต่สุดท้ายคุณหมอก็จ่ายยาวิเศษณ์เหมือนกันทุกรายไป

พยาบาลเห็นแบบนั้นก็อดสงสัยไม่ได้ จึงต้องถามคุณหมอว่า ก็ในเมื่อโรคอะไรก็รักษาเหมือนๆกัน ทำไมคุณหมอจะต้องยอมเสียเวลาพูดคุยกับคนไข้ทุกคนแบบนี้ด้วย

คุณหมอตอบว่า คุณเคยป่วยไหม ตอนที่คนเราป่วยน่ะ จิตใจมันรู้สึกกังวล กลัวไปสารพัด กลัวว่าอาการเล็กๆน้อยๆ อาจจะลุกลามไปเป็นโรคร้ายแรงก็ได้ คนไข้ไม่ได้แค่ป่วยทางกาย แต่ทางใจก็ต้องการการเอาใจใส่ ต้องการคำปลอบประโลมด้วยเช่นกัน ยามันร้กษาโรคเขาได้ แต่รักษาความกังวลในตอนที่เขามาหาหมอไม่ได้หรอกนะ

ยามันทำหน้าที่ของมัน หมอก็ต้องทำหน้าที่ของหมอ

เรื่องนี้มันสะท้อนออกมาในเรื่องของการใช้ชีวิต และในการทำงานด้วยเช่นกัน ถ้าผมมองลงไปตอนที่ทำงาน หลายครั้งเราก็จะเจอคนประเภทเดียวกับคุณหมอที่รักษาหลังผมอยู่เยอะเลย เขาเชื่อว่า ร้อยทั้งร้อยมันก็เป็นแบบนี้แหล่ะ เจอมาทุกวัน เขานี่แหล่ะรู้ดีที่สุด ไม่ต้องฟังอาการก็บอกสาเหตุได้ และวิธีแกมีวิธีเดียว

ผมเชื่อจากที่เรียนมา และพิสูจน์ด้วยตัวเองมาระยะหนึ่งว่า ทักษะการฟังนั้นสำคัญมาก บางครั้งคู่สนทนาที่ดีที่สุด อาจจะเป็นคนที่ไม่พูดอะไรเลย นอกจากพยักหน้าและส่งเสียงแค่ อือ อืม อ๋อ ก็เพียงพอแล้ว

--

--